อคติในการลงทุนและผลลัพธ์
อคติก็คือความลำเอียง ดังนั้น อคติในการลงทุนก็คือ "ความลำเอียงในการลงทุน" และเจ้าอคตินี่มันก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนของนักลงทุน โดยทำให้การตัดสินใจในการลงทุนเป็นแบบไม่ตรงไปตรงมา เพราะว่า "ฉันรู้สึกแบบนี้ และฉันคิดว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้"
สุดท้ายผลจากการตัดสินใจต่างๆเหล่านั้น
ก็จะย้อนกลับมาที่พอร์ตการลงทุนของเราเอง ซึ่ง ผลกระทบที่ว่านี้
มักจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดีซะเป็นส่วนใหญ่ คุณว่าจริงมั้ย?
ทีนี้เราลองมาดูว่า อคติในการลงทุนที่ว่านี้มันมีอยู่กี่แบบ และลองเช็คตัวคุณเองว่า คุณมีอคติแบบไหนอยู่บ้าง
1. Loss Aversion คือ
ความเกลียดชังการสูญเสีย นั่นคือ
การที่เราต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความสูญเสีย และแสวงหากำไร
ในการศึกษาบางอย่างชี้ให้เห็นว่า
การสูญเสียนั้นมีพลังเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับการทำกำไร ผลของมันก็คือ
เมื่อเรากลัวที่จะสูญเสีย
เราก็จะให้ความสำคัญกับการขาดทุนมากมากกว่าการหากำไร
(ก็ฉันไม่อยากเสียเงินนี้ไป) ตัวอย่างเช่น ถ้ากำไร 10 บาท กับ ขาดทุน 10
บาท ก็มีผลเท่ากัน แต่คนจะกลัวขาดทุน 10 บาทมากกว่ากลัวไม่ได้กำไร 10 บาท
(แน่นอนบางคนอาจจะกลัวขาดทุนแค่ 5 บาท เมื่อเทียบกับโอกาสกำไร 15 บาท)
2. Risk Aversion คือ
ความเกลียดชังความเสี่ยง เจ้าสิ่งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากเจ้า Loss
Aversion ซึ่งแน่นอน เมื่อคนเกิดความกลัวที่จะเสียเงิน
ก็ต้องกลัวความเสี่ยงเป็นธรรมดา Risk Aversion
เกิดขึ้นในภาวะที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน
ก็จะพยายามลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน
เป็นถาวะที่นักลงทุนเต็มใจที่จะยอมรับผลตอบแทนที่ไม่แน่นนอน
หรือน้อยกว่าแต่ปลอดภัยกว่า
ดีกว่าจะยอมเสี่ยงกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า
แต่อาจจะต่ำกว่าที่คาดไว้ และมีความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น
นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง
อาจนำเงินลงทุนไปฝากธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยเงินฝากที่ให้ค่าตอบแทนต่ำแต่
ปลอดภัย แทนที่จะนำมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า
แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ เป็นต้น
(ตัวอย่างที่เราเห็นได้ในปัจจุบันที่ตลาดถูกครอบงำด้วย Risk Aversion คือ
ตลาดหุ้นตกกันทั่วโลก เพราะนักลงทุน แห่กันเทขายหนีความเสี่ยงออกจากตลาด)
3. Sunk cost effect
นั่นคือ ผลกระทบจากการยึดติดกับเงินที่ลงทุนไปแล้ว
มากกว่าเงินที่จะต้องเสียในอนาคต และสุดท้ายก็ส่งผลกระทบกลับมาที่นักลงทุน
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักลงทุนดูกราฟ EUR/USD แล้วคาดว่ามันจะลง ก็เซลไว้
แต่ราคาก็ไม่ลดลง แต่กลับขึ้นมาเรื่อยๆ
จนถึงแนวต้านอีกแนวนึงก็เซลเพิ่มไปอีกแทนที่จะตัดขาดทุนตั้งแต่ที่รู้ว่า
ตัดสินใจผิดครั้งแรกยอมขาดทุนน้อยๆ
แต่กลับยอมให้พอร์ตขาดทุนเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น เพราะ "เสียดาย"
เงินที่ลงทุนไปแล้ว ไม่อยากเสียเงินทุนแม้จะรู้ว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาด
นักลงทุนที่อยู่ในภาวะนี้มักชอบ "หลอกตัวเอง"
ว่า เดี๋ยวมันจะต้องเป็นไปตามที่ฉันคิดแน่ๆ
และผลสุดท้ายความเสียหายก็มากขึ้น บางทีอาจเลวร้ายขนาด
ล้างพอร์ตกันเลยก็เห็นอยู่บ่อยสำหรับตลาด Forex
4. Disposition effect
คือ ผลกระทบจากการจัดการของนักลงทุน
ที่มักจะตัดสินใจปิดออเดอร์ซื้อขายเมื่อมีกำไรแล้ว
แต่จะไม่ยอมปิดเมื่อยังขาดทุนอยู่ รู้ว่าถือไว้แล้วมันติดลบ
แต่ก็ถือไปเรื่อยๆ (ฉันจะรอวันฟ้าเป็นใจ ได้กำไรแล้วค่อยปิด)
นักลงทุนที่จะทำแบบนี้ได้ จะต้องอึดทั้งพอร์ตอึดทั้งคน
ถ้าคุณไม่อึดพอไม่มีการวางแผนรองรับที่ดีก็จงอย่าทนถือออเดอร์ติดลบนานๆเลย
จะดีกว่า
5. Outcome bias หมายถึง
อคติที่เรามีแนวโน้มที่จะตัดสินอะไรจากผลที่ออกมามากกว่า
ตัดสินใจจากเหตุผลที่มีอยู่ เช่น
เราเทรดตามการวิเคราะห์จากเหตุผลของราคาอาจจะทั้งทางเทคนิคอล
หรือดูจากพื้นฐานด้วยก็ตาม การเทรดของเราก็ทำกำไรได้เรื่อยๆ
แต่ไม่ได้มากมายเป็นก้อนใหญ่ วันหนึ่ง มี "พลายกระซิบ"
มาบอกว่าคู่เงินนั้นจะเป็นแบบนี้นะ ให้ตาม เราทำตามและได้กำไรมหาศาล
และเมื่อเราทำตามไปซัก 2-3 ครั้ง
เราก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มไม่เชื่อการวิเคราะห์ที่ถูกต้องของตนเอง
แต่หันไปเล่นหุ้นพรายกระซิบแทน ผลที่ตามมาก็คือ
ระเบียบวินัยการลงทุนของเราก็จะหายไป และเมื่อไหร่
พลายกระซิบนี้เริ่มทำงานไม่ดี เราก็จะไปตามหา พลายกระซิบใหม่ไปเรื่อยๆ
6. Recency bias
คือ คนเรามีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุด
มากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เช่น การขาดทุนที่เพิ่งเกิดวันนี้
ทำให้เราเจ็บปวดมากกว่าการขาดทุนที่เกิดขึ้นปีก่อน
แม้ว่าความเสียหายจาการขาดทุนในวันนี้จะเทียบไม่ได้เลยกับเมื่อปีก่อนก็ตาม
7. Anchoring
อันนี้สำคัญทีเดียว คือ
แนวโน้มที่บอกว่าเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อในข้อมูลที่มีอยู่ให้เห็นตรงหน้า
มากกว่าข้อมูลที่เราไม่เห็น
ซึ่งอาจทำให้เราประเมินภาพผิดไปจากความจริงมากมาย
เพราะทำให้เราเชื่อมั่นเกินเหตุกับข้อมูลที่มีอยู่ (อาจจะแค่ 30% ก็ได้
แต่เราไม่รู้ว่ายังมีข้อมูลอีก 70% ที่อาจทำให้เราต้องไปคิดใหม่เลยทีเดียว)
อย่าง เช่น การดูข่าวในตลาด Forex ทุกวันนี้
เมื่อเวลามีการประกาศตัวเลขดัชนีต่างๆ
เราเห็นตัวเลขดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจออกมาดี ค่าเงินสกุลนั้นจากที่อ่อนแอ
ก็พุ่งพรวดไปชั่วครู่ แล้วร่วงลงมาตามเดิม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
แม้ว่าดัชนีตัวนี้จะดีแต่ก็ยังคงเป็นแค่ส่วนเดียวของเศรษฐกิจโดยรวม
ดัชนีตัวนี้ดี แต่ตัวอื่นๆส่วนใหญ่อาจจะย่ำแย่อยู่ก็ได้
ถ้าเศรษฐกิจจะดีจริง
ดัชนีโดยรวมส่วนใหญ่ควรออกมามีความสอดคล้องกันไปในทิศทางที่ดีด้วย
8. Bandwagon effect
หมายถึง แนวโน้มที่เราจะคล้อยตามคนหมู่มาก ซึ่งอาจจะไม่ต้องถูกเสมอไป
ดังนั้น การจะเชื่ออะไรก็ควรจะพิจารณาถึงเหตุผลด้วย
ก่อนที่จะเชื่อตามคนอื่น เพราะการที่มีคนเชื่อแบบเดียวกันมากๆ
ก็ใช่ว่าความคิดนั้นจะถูกเสมอไป
9. Belief in the law of small numbers
คือ การที่ผู้คนใช้ข้อสรุปผิดๆ
จากจำนวนตัวอย่างที่น้อยเกินกว่าที่จะมาทำข้อสรุปได้จริงๆ เช่น
ในการเทรดคู่เงิน EUR/USD ถ้าเพื่อนเราที่เป็นเทรดเดอร์ด้วยกัน 10 คน มี 7
คนที่ซื้อ และ 3 คนที่ขาย ถ้าคนที่เทรดคู่เงิน EUR/USD
มีเพียงแค่เราและเพื่อน 10 คนก็คงง่ายที่จะสรุปได้ว่า ราคา EUR เทียบ USD
ต้องขึ้นแน่นอน เพราะคนต้องการซื้อมากกว่าคนต้องการขาย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในตลาดมีผู้คนมากมายมหาศาลที่ซื้อขายคู่เงินนี้
ดังนั้น อย่าด่วนสรุปอะไรจากคนรอบตัวเราเพียงไม่กี่คน

ที่ นี้ลองทบทวนตัวเองดูว่าคุณเป็นนักลงทุนที่มีอคติแบบไหนอยู่บ้าง ควรจะแก้ไขตรงไหน ป้องกันอย่างไร เพื่อให้พอร์ตการลงทุนของคุณปลอดภัยจากอคติในใจของคุณเอง
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,488.0.html